KSB The Challenge 2010

KSB The Challenge 2010
ข่าวสาร รูปกิจกรรมต่างๆ พูดคุยกับสมาชิก

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ชนะใจตนเองเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่


เวลาถ่ายรูป...ส่วนใหญ่เราก็มักจะเก็บภาพ
ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ความประทับใจ
น้อยคนนักที่จะถ่ายภาพในยามเศร้า
เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ
ดังนั้น...เราจึงมีภาพถ่ายงานฉลองวันเกิดกัน
แต่ไม่มีภาพถ่ายตัวเองเป่าเค้กวันเกิดอย่างเดียวดาย
มีภาพงานวิวาห์ที่พรั่งพร้อมสมบูรณ์แบบ
แต่คงมีน้อยมากที่จะถ่ายภาพในวันหย่าร้างอันแสนขมขื่น
การทำใจลืมอดีตที่มีแต่ความเจ็บปวดให้หมดสิ้นไป
โดยไม่ต้องหลงเหลือให้บันทึกไว้ในชีวิตก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เหมาะสมที่สุดกับการดำเนินชีวิตของคนต่อให้คุณทุกข์ หรือเศร้าขนาดไหน
มันก็จะเป็นแค่เรื่องหนึ่ง
ที่ผ่านมา....
แล้วมันก็จะผ่านไป

ฝนยังไม่ตกทุกวัน ฟ้ามีมืดก็มีสว่าง
แล้วจะยึดติดทำไมกับอะไรที่ผ่านเข้ามาล่ะครับ
เพราะไม่ว่าสุขหรือทุกข์
มันก็คงไม่อยู่กับเรานานอยู่ดี
คิดไว้แบบนี้จะได้สบายใจ.....
แต่ถึงแม้ความทุกข์มันจะรักเรามากกว่า
เพราะมาหาเราบ่อยเหลือเกิน
ก็ให้ถือเสียว่า เป็นการฝึกความแข็งแรงของใจ
ผมมักจะบอกตัวเองอยู่เสมอๆว่า
ถ้ามองทุกอย่างในแง่จริง แล้วมันเจ็บปวดนัก
ก็ให้มองมันในแง่ดี ส่วนแง่ร้ายก็ลืมๆมันไป
ทำเป็นมองไม่เห็นมันเสียบ้าง
คงไม่เสียโอกาสอะไรในชีวิตไปหรอก
ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่ให้เลี่ยงที่จะรับรู้ความจริง
แต่ความจริง ก็มีหลายด้านให้เลือกมองไม่ใช่หรือ
สุขสันต์วันที่เอาชนะใจตัวเองได้ช่วงเข้าพรรษา

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อีกมุมหนึ่งของชีวิต
















ถ้าชีวิตคนเราเปรียบเหมือนละครชีวิตบทหนึ่ง ที่ต้องโลดแล่นไปตามบทของแต่ละคนแล้วแต่กรรมและวิบากกรรมที่มีมา แต่เรื่องที่ได้ไปพบมามันยิ่งกว่าละคร เมื่อวานเย็นเห็นยายคนนึงนั่งรออะไรบางอย่างเป็นเวลานาน เลยเข้าไปคุยด้วยและนี่คือบางส่วนของชีวิตยาย
ชื่อ อุไร พุกแก้ว อายุ 74 ปี มีลูก 4คน ตายไป 2คน เหลือผู้ชาย1และผู้หญิงอีก1 ลูกชายคือคนที่อยู่ด้วยแต่เพราะรักเมียมากกว่าแม่จึงไม่ให้แม่อยู่ด้วย ไม่แม้จะมาดูแลแม่ที่อยู่กันแค่ถนนกั้น ส่วนลูกสาวคือคนที่จากแม่ไปกับผู้ชาย ทิ้งชีวิตอีก1ชีวิตให้ยายดูแลอายุ10กว่าขวบที่ยายเลี้ยงมาตั้งแต่แม่ทิ้งไป เคยหาเลี้ยงชีวิตด้วยการถีบสามล้อหาของเก่าตามกองขยะทั้งๆที่เคยมีเคยใช้ไม่ลำบากแต่เพราะรักลูก แต่ตอนนี้ยายไปหากินเหมือนเดิมไม่ได้เพราะขาพิการทั้งสองข้าง ลีบจนเหลือเท่าแขนเด็ก ที่สำคัญตาทั้งสองข้างยายมองไม่เห็นอะไร ข้างนึงบอดสนิท อีกข้างก็เห็นเลือนลาง ตอนนี้ยายยังชีพอยู่ด้วยเงินของประชาสงเคราะเดือนละ1000บ.แต่จ่ายค่าเช่าบ้านไป500 และยังต้องให้หลานเรียนหนังสืออีกวันละ20 และยายก็บอกอย่างไม่อายว่า ทุกวันนี้ต้องรอหลานไปเรียนแล้วยายก็จะออกไปขอทานที่ศาลแม่ย่า ทุกวันนี้เวลายายจะดูทีวีต้องเดินไปดูข้างบ้าน ข้าวที่กินแล้วแต่เงินที่ขอได้แต่ละวัน บางวันไปไม่ไหวก็กินข้าวกับผลไม้เท่าที่จะหาได้ เลยถามยายว่าอยากกินอะไรมากที่สุด ยายบอกเคยอยากกินต้มจืดผักกาดดองมากที่สุด วันนี้ตอนเช้าเลยไปซื้อซี่โครงหมูกับผักกาดดองมาต้มเอง และซื้อปลาทูตัวใหญ่40บ.(ไม่กล้าซื้อกินเอง..แพง)เพราะมีน้ำพริกกะปิใส่กระปุกเก็บไว้ แล้ววันนี้ตอนเย็นก็แวะไปให้ยายที่บ้าน ยายดีใจมาก อยากให้หลายๆคนได้เห็นแววตาของยายทั้งๆที่ตาบอด แต่มันเหมือนเป็นแววตาที่พูดไม่ออกมาเป็นคำพูดใดๆได้นอกจากคำว่าขอบคุณและยกมือไหว้เรา ทำให้นึกถึงภาพๆนึงตอนไปซื้อตั๋วคอนเสริตใบละ2500 ทั้งที่ทั้ง2ภาพเป็นการให้เหมือนกัน วิธีการเหมือนกันคือให้สิ่งของหรือเงินให้กับคนอื่น แต่ผลลัพธ์ต่างกัน ภาพยายใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม กับนังนั่นที่มองเราด้วยหางตาเหมือนนึกใจว่า จ่ายเงินแล้วก็รีบๆไปซะไม่เห็นคนยืนรอข้างหลังรึงัย บางครั้งความสุขในการให้ไม่ได้อยู่ที่เป็นเงิน ของมากหรือน้อยเพราะนั่นมันสิ่งที่เราสมมุติมันขึ้นมา เหมือนที่เวลาเราโดนกรอกหูทุกครั้งเวลาไปวัดว่า ทำบุญมากได้บุญมาก ทำน้อยได้น้อย แต่มันขึ้นอยู่กับจิตใจที่เราทำทั้งก่อนให้ ขณะให้และหลังให้ว่าบริสุทะใจแค่ใหน หลังจากรำลายายแล้ว ตลอดทางที่กลับบ้านรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอิบที่ได้ทำสิ่งดีๆในวันนี้และสัญญาว่าจะกลับไปหายายอีก...

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฟังเพลงวันหยุด

Over & Over
by..Nana Mouskouri

I never dared to reach for the moon
I never thought I'd know heaven so soon
I couldn't hope to say how I feel
the joy in my heart no words can reveal

over and over I whisper your name
over and over I kiss you again
I see the light of love in your eyes
the love is forever, no more good-byes

now just the memory the tears that I cry
now just the memory the sighs that I sighed
dreams that I cherished all have come true
all my tomorrows I give to you

over and over I whisper your name
over and over I kiss you again
I see the light of love in your eyes
the love is forever no more good-byes

live summer leaves may turn to gold
the love that we share will never grow old
here in your arms the world's far away
here in your arms, forever I'll stay

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์



ช่วงนี้ผมมักจะได้ยินคำถามบ่อยๆทั้งต่อหน้าและลับหลังว่า เป็นไง
อยู่คนเดียว เหงามั๊ย ทำไม ทำไม และทำไมเยอะมาก ไอ้ที่ตอบได้ก็ตอบ
ที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยง ไม่รู้นะ ผมว่าความรู้สึกตอนนี้ ก็เหมือนตอนที่ย้ายบ้าน
ผมเป็นคนที่ย้ายบ้านบ่อยมาก ตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนแรกๆก็อาจจะไม่ชินกับ
ชีวิตในที่ใหม่ พอปรับตัวได้ก็เริ่มชิน ก็ไม่รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไป เหมือน
เวลาเราทำมือถือหาย ก็อาจจะหงุดหงิดอยู่พัก พอทำใจได้ถึงมีหรือไม่มีมัน
เราก็มีชีวิตอยู่ได้ อย่าไปทุกข์กับมัน ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ว่า ที่ใดมีรัก
ที่นั่นมีทุกข์ เพราะมนุษย์เราเห็นแก่ตัวกันทุกคนนะ ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก ทุก
เรื่องเลยแหละ ตั้งแต่การแต่งตัว การทำงาน การกินการนอน เรามักจะเลือกสิ่ง
ที่ดีให้ตัวเองก่อนเสมอ เพราะเรา รักตัวเอง อยากให้ตัวเองดูดี มีความสุข อยาก
ให้ตัวเองสบายใจ การที่เราเลือกที่จะมีคนรัก ก็เพราะเราเชื่อว่า ถ้าคนนั้นรักเรา
แล้วเราจะมีความสุข ถ้าเขาดีกับเรา จริงใจกับเรา เราจะมีความสุข ซึ่งสุดท้าย
มันก็ความสุขของ ตัวเรา นี่แหละ
มาตรฐานของการมีชีวิตคู่มันมีอยู่ข้อเดียว คืออยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ ซึ่งต้อง
สบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะขึ้นชื่อว่า "ชีวิตคู่" มันต้องเป็นเรื่องของคู่ การ
ที่บางคู่อยู่กันได้นาน อยู่กันยืด ก็เพราะวิธีที่เขายอมรับกันและกันได้ในความต่าง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฐานะ การศึกษา หน้าตา การงาน ความคิดอ่าน ภูมิหลังเพื่อ
เติมเต็มให้อีกฝ่ายที่ขาดเพราะที่คนเรารักกันไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายสมบูรณ์แบบหรอก
แต่เพราะต่างฝ่ายต่างยอมรับและรักในความไม่สมบูรณ์ของอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่า
การเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์สองคนมาเติมเต็มกัน ดีกว่าเป็นคนที่สมบูรณ์สองคนที่ไม่
มีที่ว่างให้อีกฝ่ายมาเติม
ก็แค่อยากจะบอกว่า คนเรามาเจอกัน ก็เพื่อจะต้องพลัดพราก ไม่ช้าก็เร็ว ไม่วันใด
ก็วันหนึ่ง ต่างกันก็แค่จะจากเป็นหรือจากตาย ด้วยเหตุดี ด้วยเหตุร้ายเท่านั้นแหละเพราะ
โลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุ มีที่มา เป็นผลกรรม
ที่เราได้ทำไว้....
สุขสันต์วันที่ฝนยังไม่หยุดตก

ห้องแห่งความสุข


นอกจากหนังสือที่ทำเสร็จไปแล้ว คือ ธรรมะ ทำธรรมดา ทุกวันแล้ว

ยังมีโครงการทำหนังสือเล่มต่อไปอยู่ คือ ห้องแห่งความสุข ซึ่งอยู่ใน

ระหว่างพิมพ์งานอยู่ เสร็จเมื่อไรจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

วันพระ กับชินะตาลัย



สื่อธรรมะ ชินะตาลัย เป็นโครงการที่ต้องการเผยแพร่
ธรรมะทั้งหนังสือและซีดีธรรมะต่างๆเพื่อเป็นธรรม
ทานแก่ผู้สนใจ โดย หนังสือเล่มแรกที่ตอนนี้ทำเสร็จ
สมบูรณ์แล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิมพ์อยู่ คาด
ว่าอีกไม่กี่วันก็เสร็จ พร้อมจะส่งให้กับผู้มีจิตศรัทธา
ร่วมบริจาคเงินเพื่อพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นหนังสือที่
เนื้อหาส่วนใหญ่เหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมมือใหม่ ไม่
เหมาะสำหรับผู้รู้ หรือผู้ที่บรรลุแล้ว และนี่คือบางส่วนของ
เนื้อหา

เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ไม่เจอทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรมะ เพราะไม่วันใดก็วันหนึ่งตัวเราเองหรือคนใกล้ตัวก็ต้องเจอกับความทุกข์ บางคนทุกข์เพราะกิเลสอันได้แก่ รัก โลภ โกรธ หลง ทุกข์เพราะการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือไม่ก็พลัดพรากจากของรัก ทุกข์เพราะไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา ของเราไม่ยอมปล่อยวาง ทุกข์เพราะเอาใจไปอิจฉา ไปอาฆาตพยาบาทผู้อื่น ทุกข์เพราะถูกด่าถูกนินทา ทุกข์กับการมี ไม่มี และทุกข์อีกมากมาย ซึ่งเราต้องสอนให้ตัวเองยอมรับความเป็นจริงของโลกให้ได้ว่า “โลกเป็นทุกข์” ไม่มีใครเกิดมาแล้วจะหลบหนีความทุกข์ไปได้ ดังนั้นพุทธศาสนาจึงให้ความสำคัญของทุกข์ ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง อริยสัจ4 ซึ่งเป็นแก่นของศาสนาพุทธก็เป็นเรื่องของทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ และการดับทุกข์ ถ้าคนเราเมื่อมีความทุกข์เข้ามาแล้วสามารถผ่านพ้นและพัฒนาตัวเองไปได้ก็จะรู้สึกขอบคุณความทุกข์ที่เจอ เพราะถ้าชีวิตไม่เจอทุกข์ ก็จะไม่หันมาสนใจพัฒนาชีวิตที่บกพร่องให้ดีขึ้นกว่าเก่าและมีส่วนทำให้ชีวิตได้มาศึกษาและปฏิบัติจากศาสนาพุทธ ถ้าถามว่าทำไมบางคนจึงเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้เยอะขนาดนี้ ทั้งที่เขาอาจเริ่มจากการฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์ต่างๆ ได้สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ยิ่งฟังและปฏิบัติตามยิ่งทำให้นิสัยเปลี่ยนไป เป็นคนมีสติระลึกรู้ จากที่เมื่อก่อนที่เคยคิดว่าเราเป็นชาวพุทธแต่ในทะเบียนบ้าน แต่ไม่เคยเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง เราจึงพลาดหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต เพราะมัวแต่รู้สึกว่าธรรมะเป็นเรื่องเชย เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องของคนแก่ คนอกหักรักคุด เป็นเรื่องไกลตัว หรือยังเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรม คือ การนุ่งขาวห่มขาว อดข้าวเย็น ถือศีล เดินจงกรม นั่งสมาธิอย่างเดียวหรือการเป็นชาวพุทธ คือการไปวัดทำบุญ ใส่บาตรแล้วจบ
ถ้าความรู้ในโลกนี้มีมากมายเหมือนใบไม้ในป่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านจะสอนเพียงแค่ใบไม้หนึ่งกำมือ ใบไม้หนึ่งกำมือของท่าน คือความรู้ที่เพียงพอต่อการเดินไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ เพราะในเวลาที่ชีวิตเรามีวิกฤต ใบไม้หนึ่งกำมือนี้แหละจะช่วยเราได้ หลายคนเรียนจบสูงๆก็ยังไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร ไม่รู้ว่าจุดหมายของชีวิตอยู่ตรงใหน ถ้าเราจำได้ตั้งแต่เราเกิดมา เรารับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคมาแล้วกี่ขนาน แต่น่าเสียดายที่วัคซีนเหล่านั้นไม่ยักกะมีวัคซีนต้านทานความทุกข์มาให้ด้วยคนรุ่นนี้จึงอ่อนแอกับปัหามากขึ้น สอบตก เกรดไม่ดีก็ฆ่าตัวตาย แฟนทิ้งอกหัก งานไม่ดีสามีไม่รักก็ฆ่าตัวตาย คนที่เจอปัญหาแล้วคิดฆ่าตัวตาย ก็คงคล้ายกันเราจมอยู่ในปัญหาแบบขาดสติ แล้วคิดว่านี่คือกาลอวสานของโลกแต่จริงๆแล้วถ้ามีสติ อดทนผ่านปัญหาไปให้ได้ แล้ววันหนึ่งมองย้อนกลับมาจะรู้เลยว่ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เคยรู้สึกนะเมื่อคิดถึง ที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายว่ากว่าคนเราจะมีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ได้มันยากขนาดไหนแต่เพราะไม่รู้แจ้งในสังสารวัฏ คนบางคนเลยคิดว่าตายแล้วจะพ้นทุกข์อันนี้อันตรายมาก เพราะมนุษย์เป็นภพภูมิที่เอื้อต่อการสร้างกุศลขั้นสูงสุดคือภาวนา การตัดรอนชีวิต ก็เท่ากับตัดรอนโอกาสในการสัมผัสถึงพระนิพพานของตัวเองกรรมวิบากของการฆ่าตัวตายจึงน่ากลัวกว่าปัหาก่อนตายมากมายหลายเท่านัก
ถ้าเรานำความทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้มากองรวมๆกัน แล้วกรองแยกออกมา จะพบว่าความทุกข์จริงๆแล้วแบ่งได้เป็น ๓ ประเภทคือ ผิดหวังในอดีต ไม่พอใจกับปัจจุบัน และ กังวลถึงอนาคต พระพุทธเจ้าจึงสอนเราให้อยู่กับปัจจุบัน มีสติ คือรู้ในปัจจุบันขณะ เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วและอนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
คนเราเป็นทุกข์เพราะเคยชินกับการหนีทุกข์ วิ่งหาสุขแทนที่จะเรียนรู้เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีสติ ไม่ว่าจะในเวลาสุขหรือทุกข์ ที่เราคอยหนีทุกข์ เพราะเกลียดทุกข์ ที่ทุกข์ง่ายเพราะขาดปัญญา ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจชีวิตไม่เคยชินกับการผิดหวัง ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ หรือการพลัดพรากจากสิ่งที่รักเพราะเราถูกปลูกฝังความคิดให้เชื่อว่า คนที่ประสบความสำเร็จ คือคนที่สมหวังเท่านั้นคนส่วนมากจึงขาดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันทุกข์ ไม่ชินกับการอยู่กับทุกข์ด้วยสติและไม่เห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ทุกข์หรือสุข เป็นธรรมที่เสมอกัน เพราะต่างก็ผ่านมาในชีวิตชั่วครั้งคราวเท่าเทียมกัน เรามาฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันทุกข์ในใจเรา ตั้งแต่วันนี้ดีกว่าไหม
พระพุทธเจ้าบอกว่า “อย่ามาเชื่อเรา แต่จงมาพิสูจน์สิ่งที่เราสอน เราเป็นแค่ผู้บอกทาง แต่ท่านต้องเป็นผู้เดินทางนั้นเอง” ทางเดินนั้นมีอยู่ ใครจะเดินก็ได้ ไม่เดินก็ได้ เราต่างมีชีวิตของเรา จงเป็นเราอย่างที่ตัวเองอยากจะเป็น อย่าเป็นเพราะคนอื่นอยากให้เป็น ไม่ใช่มีพระห้อยเป็นร้อยองค์แล้วจะบรรลุธรรมได้ จะพ้นทุกข์ได้ ต้องลงมือทำ ต้องปฏิบัติ ต้องสะสมปัญญากันเอง เพียงแต่ย้อนมาทำความรู้จักตนเอง ซึ่งก็แค่กายกับใจนี่แหละ แล้วจะรู้จักตัวเอง รู้จักชีวิต รู้จักโลก ธรรมะก็คือ ธรรมชาติ ธรรมดา ที่เราสามารถทำได้อย่างปรกติ...ทุกวัน แล้วจะรู้ว่า ทำไมทุกเช้าผมถึงกราบพระพุทธเจ้าได้อย่างเต็มหัวใจ
เจริญในธรรม
วิจัย ตันติยวรงค์
เรียบเรียงและจัดทำ
หนังสือธรรมะที่ดีและควรอ่านที่สุด ก็คือ กายใจของเรานี่แหละ

เรื่องที่เราคิดว่ารู้... บางทีอาจไม่..ก็ได้

* เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
* ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
* ถ้ามีการแนะนำตัวว่า "นี่เพื่อนฉัน" หมายความว่า "แฟนฉัน"
* ถ้ามีการแนะนำตัวว่า "นี่แฟนฉัน" หมายความว่า "ผัว/เมียฉัน"
* มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
* แฟนของคนอื่นมักจะสวยกว่าแฟนของตัวเอง
* เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะ ช้าไป 1 จังหวะเสมอ
* ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
* เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักทีให้พูดว่าไม่เอาจะ ได้เร็ว
* ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่า จะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
* ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
* ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่งไม้, ซอกตึก, อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
* ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
* ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ
* อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
* หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู
* อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ
* อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก
* เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ
* อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
* รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
* ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี
* อย่าเข้าใกล้หมาตอนกินข้าว
* ตลาด อตก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา
* เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
* ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
* คนไม่กินเนื้อไม่ได้แปลว่าเป็นดีเสมอไป
* เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย
* ปูอัด มันทำจากปลา
* กระเพาะปลามันทำมาจากหนังหมู
* กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
* อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
* ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา
* คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเขาไม่มีตู้ เขาไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร
* คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
* คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
* ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
* จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
* เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึง มักจะหาไม่เจอ
* ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
* ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต, ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน.
สุขสันต์วันนี้ฝนตก

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันนี้วันพระ

นิทานวันพระ

เรื่องของนักบวชกับโสเภณี มีสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนึง ตั้งอยู่ตรงข้ามกับซ่องโสเภณี

วันหนึ่ง นักบวชในสำนักนั้น เสียชีวิตลงในวันเดียวกับโสเภณีคนหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามเมื่อ

ถึงเวลายมฑูตมารับวิญญาน ท่านก็เปิดดูบัญชีบันทึกบุญกรรมย้อนหลังแล้วก็ชี้ว่า

"โสเภณี จงขึ้นสวรรค์ไป ส่วนนักบวช ไปลงนรกกับข้า"นักบวชอ้าปากค้าง แล้วรีบประ

ท้วงว่า.."สงสัยท่านยมฑูตจะเพี้ยน ตลอดชีวิตข้าอยู่แต่ในสำนักปฏิบัตินะส่วนนังนี่

อยู่ในซ่องมาไม่รู้กี่ปีดีดัก"ยมฑูตอมยิ้ม แล้วบอกว่า..."ก็เจ้าน่ะ ตัวอยู่ในสำนักปฏิบัติ

แต่ใจอยู่ในซ่องตลอดเวลา

แต่แม่โสเภณี ตัวอยู่ในซ่อง แต่ใจอยู่กับวัดตลอดเวลา"

เรื่องใจ สำคัญนะครับ ^^